เรื่อง
พัฒนาการของยุโรปสมัยกลาง
ส 33101 ประวัติศาสตร์
ปีการศึกษา 1/2555
โรงเรียนสตรีวิทยา
ที่ปรึกษา
อ.ปรางค์สุวรรณ ศักดิ์โสภณกุล
จัดทำโดย
เรื่อง
พัฒนาการของยุโรปสมัยกลาง
ส 33101 ประวัติศาสตร์
ปีการศึกษา 1/2555
โรงเรียนสตรีวิทยา
ที่ปรึกษา
อ.ปรางค์สุวรรณ ศักดิ์โสภณกุล
จัดทำโดย
เมืองที่เกิดจากการค้า
การค้าของโลกได้ฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากชะงักเป็นเวลาหลายร้อยปี
ก่อให้เกิดการฟื้นตัวของเมืองเก่าที่เคยรุ่งเรืองและการเกิดเมืองใหม่ๆ
เมืองกลายเป็นศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมของยุโรป
เกิดสมาคมอาชีพ เกิดระบบการเก็บภาษีอากร เกิดการปกครองท้องถิ่น
ที่เรียกว่าเทศบาล เกิดตลาดนัดงานแสดงสินค้า เกิดธนาคาร
พวกพ่อค้าได้กำหนดวันที่ 1มกราคมเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่
ซึ่งสอดคล้องกับวันเฉลิมฉลองปีใหม่ของชาวโรมัน
มหาวิทยาลัยตะวันตก
มหาวิทยาลัยนับเป็นมรดกที่สำคัญของยุโรปในสมัยกลาง และเป็นผลิตผลโดยตรงของสังคมเมือง
เกิดขึ้นจากการขยายตัวและพัฒนาของโรงเรียนวัดซึ่งเป็นสถานที่อบรบสั่งสอนนักบวชและประชาชนทั่วไป มหาวิทยาลัยเจริญในเวลาอันรวดเร็วเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเมือง สงครามครูเสด และการรับความรู้ใหม่ๆจากทางยุโรปตะวันออกและเอเชียไมเนอร์
มีหลักสูตรที่แน่นอนและนำเอาระบบสมาคมอาชีพมาใช้ในการฝึกหัดนักศึกษาและเจริญแพร่หลายอย่างกว้างขวาง
อารยธรรมสมัยกลาง
สถาปัตยกรรม :
มีผลงานด้านสถาปัตยกรรมอยู่2แบบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างวัดและมหาวิหารในคริสต์ศาสนาโดยตรง คือ
แบบโรมาเนสก์(Romanesque) จุดเด่นคือ กำแพงหนา กระเบื้องปูพื้นขนาดใหญ่ บานหน้าต่างเล็กและเรียวยาว
และแบบกอทิก(Gothic) จุดเด่นคือ การใช้อิฐปูนค้ำยันจากภายนอกและการใช้เสาหินเพื่อรองรับน้ำหนักของหลังคา
ประตูหน้าต่างเป็นแบบโค้งแหลมขนาดกว้าง กำแพงประดับด้วยกระจกสี
วิหารและหอเอนปิซา ประเทศอิตาลี
สถาปัตยกรรมแบบ โรมาเนสก์
วิหารเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี
สถาปัตยกรรมแบบกอธิก
วรรณกรรม
นอกจากเน้นเรื่องราวความเชื่อในคริสต์ศาสนาแล้วยังมีวรรณกรรมทางโลกด้วย
แต่งเป็นภาษาละตินซึ่งถือว่าเป็นภาษาหนังสือที่เป็นสากลและภาษาสำคัญทางศาสนา
มหากาพย์
คีตกานท์
นิทานอุทาหรณ์
นิยายวีรคติหรือนิยายโรมานซ์
นิทานฟาบลิโอ
ความเสื่อมของศาสนจักรในช่วงปลายสมัยกลาง
สาเหตุสำคัญ คือ
การเกิดลัทธิชาตินิยมและรัฐชาติก่อตัวขึ้นในสมัยยุโรปกษัตริย์สามารถปกครองขุนนางได้
ประชาชนสนับสนุนอำนาจของกษัตริย์มากขึ้น
เกิดการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกษัตริย์ฝรั่งเศสกับสันตะปาปา
ความแตกแยกภายในของศาสนจักรอย่างรุนแรงจนถึงขั้นมีสันตะปาปา2องค์ในเวลาเดียวกัน เหตุการณ์ในยุติลงแต่ก็ทำให้คริสตจักรอ่อนแอลง
ทำให้เกิดความแตกแยกและเสื่อมศรัทธาในหมู่คริสต์ศาสนิกชน
การสิ้นสุดสมัยกลาง
การค้าขยายตัวตามเมืองต่างๆทั่วยุโรป เกิดชนชั้นกลางแทรกระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นต่ำ เป็นพวกที่สนับสนุนกษัตริย์เพื่อให้ปกป้องตน ขณะขุนนางในระบบฟิวดัลอ่อนแอลงทำให้กษัตริย์รวมดินแดนต่างๆตั้งเป็นรัฐชาติ ประชาชนจึงหันไปสนใจอารยธรรมกรีกและโรมันนำไปสู่การฟื้นฟูศิลปวิทยา ทำให้สมัยใหม่มีความแตกต่างจากสมัยกลางอย่างมาก
สาเหตุของสงคราม :
1. ด้านการเมือง : พวกเซลจุกเติร์ก เข้ามามีอำนาจในจักรวรรดิอาหรับและอิสลาม และยึดครองคาบมหาสมุทรตุรกีรวมทั้งรุกรานไบแซนไทน์
2. ด้านศาสนา : เซลจุกเติร์กได้เข้ามาปิดกั้นกรุงเยรูซาเลมไม่ให้ชาวคริตส์เข้าไปแสวงบุญ จึงทำให้สันตะตา
ปาปาชักชวนชาวคริสต์ให้ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์
เหตุผลที่ชาวยุโรปเข้าร่วมสงครามครูเสด เพราะ
ผลกระทบของสงครามครูเสด
2.สงครามร้อยปี
อังกฤษและฝรั่งเศส
สาเหตุของสงครามร้อยปี
ผลกระทบของสงครามร้อยปี
ต่อประเทศอังกฤษ
ต่อประเทศฝรั่งเศส
ระยะปลาย : ระยะเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่สมัยใหม่
การเมือง
เหตุ : จักรพรรดิเยอรมันทรงพยายามรวมจักรวรรดิในเยอรมันและอิตาลี ซึ่งขัดกับอำนาจฝ่ายเหนือฝ่ายอาณาจักร
ผล : จักรพรรดิกลายเป็นตำแหน่งไม่มีอำนาจ เยอรมันอิตาลีแตกแยก
2. การเกิดรัฐชาติ
เหตุ : ขุนนางไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจ ขณะเดียวกันกษัตริย์ก็หันไปพึ่งพาพวกพ่อค้ามากขึ้น
ผล : ระบบฟิวดัลจึงเสื่อมลง ชาติเกิดการแตกแยก
เศรษฐกิจ
ช่วงคริสต์วรรษที่ 14 : ช่วงเวลาของการเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจ สาเหตุ มาจากสภาวะสงคราม และ การเกิดกาฬโรค
สังคม
ชนชั้นกลางต้องการรัฐบาลกลางที่เข็มแข็ง ขณะเดียวกันกษัตริย์ต้องการการสนับสนุนจากชนชั้นกลาง จึงก่อให้เกิดลักษณะสังคมที่เปลี่ยนไปคือ
1. สังคมระบบฟิวดัลเสื่อมลง
2.ชนชั้นกลางขึ้นมามีอำนาจแทนที่ชนชั้นขุนนาง
3. เกิดขบวนการนักวิชาการสายมนุษย์นิยมหันไปสนใจศึกษาอารยธรรมกรีกและโรมัน
ระยะกลาง : ระยะเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
การเมือง : ความขัดแย้งระหว่างคริสตจักรกับจักรวรรดิ
หลังจากอาณาจักรแฟรงก์ล่มสลาย ได้แบ่งแบกออกเป็น ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี
เศรษฐกิจ :
ระยะแรกซบเซาเพราะมีระบบพึ่งพาตัวเอง แต่หลังจากสงครามระหว่างคริสต์ศาสนากับอิสลามจบลง
ทำให้เกิดความต้องการสินค้า ส่งผลให้ชาวบ้านทิ้งที่นา มาทำการค้าขาย
สังคม
หลังจากคริสต์วรรษที่ 11 การขยายตัวทางการค้าและอุตสาหรรมเจริญมากขึ้น โดยเฉพาะแถบเมดิ-เตอร์เรเนียน
ผลของการค้ารุ่งเรือง ทำให้สังคมฟิวดัลและขุนนางเริ่มเสื่อมอำนาจลง พวกพ่อค้ามีอำนาจมากขึ้น
การเมือง เศรษฐกิจ และ สังคมของยุโรปสมัยกลาง
ระยะต้น : เป็นสมัยที่มีความตกต่ำทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เรียกว่า ยุคมืด
การเมือง : ฟื้นฟูระบอบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจโดยรับแนวความคิดมาจากคริสต์ศาสนา แบ่งแยกจักรวรรดิออกเป็นแคว้นต่างๆ นำไปสู่การปกครองแบบฟิวดัล
เศรษฐกิจ : เกษตรกรรมใช้ระบบนาแบบโล่ง ส่วนใหญ่ปลูก ข้าวสาลีข้าวโอ๊ต และข้าวบาเรย์
สังคม : ขาดระเบียบวินัยและความมั่นคง ภาวะตกต่ำ ทำให้ประชาชนเข้าพึ่งศาสนา มีประมุขทางคริสตศาสนา คือพระสันตะปาปา
ยุคมืด
หมายถึงช่วงเวลาของความเสื่อมโทรมทั้งทางวัฒนธรรมและทางสังคมในยุโรปหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน มาจนถึงในสมัยที่มีการฟื้นฟูการศึกษากันขึ้นอีกครั้งแต่ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ของความสำเร็จต่างที่เกิดขึ้นในยุคนี้ทำให้ภาพพจน์ของลักษณะความเป็นยุคมืดเปลี่ยนไป
“ยุคมืด” เป็นความคิดที่เริ่มโดยนักปรัชญาชาวอิตาลีเพทราค ในคริสต์ทศวรรษ 1330 โดยมีความตั้งใจที่จะเป็นการวิจารณ์ลักษณะของวรรณกรรมภาษาละตินโดยทั่วไป นักประวัติศาสตร์รุ่นต่อมาขยายความจนรวมไปถึงช่วงเวลาที่คาบระหว่างสมัยโรมันโบราณไปจนถึงยุคกลางตอนกลาง (High Middle Ages) ที่รวมทั้งการขาดแคลนวรรณกรรมภาษาละติน, ขาดแคลนหลักฐานทางเอกสารทางประวัติศาสตร์, การลดจำนวนของประชากร, การลดจำนวนการก่อสร้างทางสถาปัตยกรรม และการหยุดยั้งความเจริญทางวัตถุและทางวัฒนธรรมโดยทั่วไป นอกจากนั้นก็ยังเป็นคำที่ใช้บรรยายถึงความล้าหลังด้วย
พัฒนาการของยุโรปสมัยกลาง
1. อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในยุโรปสมัยกลาง
2. การเมือง เศรษฐกิจ และ สังคมของยุโรปสมัยกลาง
3. อารยธธรมสมัยกลาง
4. เหตุการ์ณสำคัญในยุโรปสมัยกลาง
อิทธิพลของคริสต์ศาสนาในยุโรปสมัยกลาง
ศาสดา คือ พระเยซูคริสต์ จักพรรดิคอนแสตนตินที่ 1 ทรงนับถือคริสต์ศาสนาจักพรรดิทีโอโอซิอัสที่ 1 ประกาศให้เป็นศาสนาประจำจักวรรดิโรมัน
บทบาททางสังคม
คริสตศาสนามีอิทธิพลมาก แผ่อิทธิพลทั่วประเทศยุโรป
ในสมัยกลางคริสต์ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทต่อสังคมยุโรป เพราะสังคมมีแต่ความวุ่นวายและความเสื่อม ผู้ที่ปรารถนาจะหลบหนีจากความวุ่นวายได้พบว่า คริสต์ศาสนาสามารถให้ความรู้สึกที่มั่นคงทางจิตใจได้ คริสต์ศาสนาจึงแผ่อิทธิพลไปทั่วยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และ 13 ศาสนจักรมีอำนาจสูงสุดเหนือสถาบันใด ๆ และเข้าไปมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของชาวยุโรปอย่างกว้างขวาง
บทบาททางการเมือง
1 ระบบกษัตริย์ 2 ระบบฟิวดัล 3 ระบบศาล
ศาสนาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในระบบการเมืองของยุโรปทั้งในระบบกษัตริย์และระบบฟิวดัลรวมทั้งระบบศาล – ระบบกษัตริย์ ศาสนจักรได้อ้างอำนาจเหนือกษัตริย์และขุนนางในฐานะของผู้สถาปนากษัตริย์ในสมัยกลาง – ระบบฟิวดัล ศาสนจักรได้เข้ามามีบทบาทในการยุติสงครามการแย่งที่ดินระหว่างเจ้านายที่ดินต่าง ๆ และการที่ศาสนจักรมีที่ดินจำนวนมากทำให้ศาสนจักรต้องไปเกี่ยวข้องกับเจ้าของที่ดิน – ระบบการศาล ศาสนจักรได้จัดระบบการพิจารณาศาล จึงอ้างในสิทธิที่จะพิจารณาคดีทั้งศาสนาและทางโลก
บทบาททางเศรษฐกิจ
มีการเก็บภาษีโดบตรงจากประชาชน วางรูปแบบการบริหารงานทำให้คริสตจักรเป็นสถาบันที่มีกฎระเบียบ มีพระสันตะปาปา เป็นประมุขสูงสุด
ศาสนจักรเป็นแหล่งรวมความมั่งคั่งในสมัยกลาง เนื่องจากศาสนจักรได้เงินภาษีจากประชาชน และบรรณาการที่ดินที่ชนชั้นปกครองมอบให้ศาสนจักร แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศาสนจักรมีอำนาจในสมัยกลาง ได้แก่ การจัดการอำนาจแบบรวมศูนย์ที่มีประสิทธิภาพของศาสนจักรได้วางรูปแบบการบริหารงานเลียนแบบการบริหารของจักรวรรดิโรมัน ทำให้คริสตจักรเป็นสถาบันที่มีกฎระเบียบและมีเป้าหมายชัดเจนโดยมีสันตะปาปา (Pope) เป็นประมุขสูงสุด และมีคาร์ดินัล (cardinal) เป็นที่ปรึกษา ในส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นมณฑล ซึ่งมีอาร์ชบิชอป (archbishop) เป็นผู้ปกครอง ถัดจากระดับมณฑล คือ ระดับแขวง ภายใต้การปกครองของบิชอป (bishop) ส่วนหน่วยระดับล่างสุด คือ ระดับตำบล มีพระหรือบาทหลวง (priests) เป็นผู้ปกครอง